ทศวรรษที่ 2010s หรือช่วง 10 ปี ระหว่าง 2010 – 2019 พูดได้ว่าเป็นช่วงที่ทรัพย์สิน pgslot ต่างๆทั่วโลกต่างปรับพฤติกรรมขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนหลักๆทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็น DJIA และก็ S&P500 ของสหรัฐอเมริกา DAX ของเยอรมัน FTSE100 ของอังกฤษ Nikkei ของประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง SET ของไทย ล้วนแต่พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ให้ได้มองเห็นกันถ้วนหน้า วันนี้พวกเราจะมาพาไปย้อนกลับมากับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตลาดค้าหุ้นในทศวรรษของ “ตลาดวัวกระทิง” หนึ่งในความพิเศษของทศวรรษ “ตลาดวัวกระทิง” ที่ผ่านไปนี้เป็นย้อนกลับไปขั้นต่ำถึงปี 1850 หรือขั้นต่ำ 170 ปีกลาย นี่เป็นทศวรรษแรกที่ตลาดค้าหุ้นของสหรัฐอเมริกา ไม่กำเนิดวิกฤต หรือการยุบแบบอย่างร้ายแรงขึ้นมาสักหนึ่งครั้ง เช่นเดียวกันกับตลาดค้าหุ้นสำคัญๆที่แทบมิได้มีการชะลอตัวอย่างหนักให้ได้มองเห็นกันเลย กลายเป็นว่าการปรับฐานของตลาดในทุกๆครั้ง กลายมาเป็นจังหวะสำหรับในการเข้าซื้อมากยิ่งกว่า เนื่องจากว่าผลตอบแทนของดรรชนี S&P500 มากถึง 250% หุ้นตลาดกระทิงด
ไม่เพียงแค่ตลาดค้าหุ้นแค่นั้น ทรัพย์สินลงทุน (Asset Class) ต่างๆทั้งโลก ก็ปรับพฤติกรรมขึ้นในแนวทางเดียวกัน ด้วย จากการเปิดเผยของเว็บ Fortune พบว่า ตลาดปรับปรุงแล้ว (ไม่รวมสหรัฐอเมริกา) มากขึ้นเฉลี่ย 73% ตลาดกำเนิดใหม่มากขึ้นเฉลี่ย 38% ราคาทองมากขึ้น 29% เพราะเหตุใดทรัพย์สิน pgslot ทุกๆอย่างถึงราคาแพงมากขึ้นได้ตลอดช้านานขนาดนี้ ?ระยะนี้หลายๆประเทศประกาศ “การทำศึก” กันฮึ่มๆไปหมด ทั้งยังการทำศึกน้ำมัน การรบกิจการค้า ไหนจะวิกฤตวัววิด-19 ที่กำลังเอาจริงเอาจังขณะนี้ ที่มีผลเสียในวงกว้าง จนถึงทำให้หลายสายการบินถึงกับจำเป็นต้องล้มละลายลง เว้นแต่เป็นห่วงความปลอดภัยตนเองแล้ว พวกเราก็ยังเป็นห่วงความปลอดภัยของพอร์ตด้วย ถ้าหากมีการศึกระเบิดจะลงพอร์ตหุ้นพวกเราด้วยหรือไม่นะ (ฮ่า) พวกเราเลยรีบไปพบเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเหตุความไม่สงบต่างๆที่เคยเกิดขึ้นในโลกของพวกเราแล้วก็ปฏิกริยาสนองตอบของตลาดค้าหุ้นมาเล่าให้ได้อ่านกัน
สาเหตุหนุนที่สำคัญอย่างหนึ่งเป็น การขยายแบบอย่างเร็วทันใจของ “เทคโนโลยี”
บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Apple แล้วก็ Microsoft แก่ 49 – 50 ปี ตอนที่ Google แล้วก็ Amazon แก่ไม่ถึง 30 ปี เมื่อทศวรรษก่อน บริษัทอีกทั้ง 4 ที่ มีมูลค่ารวมกันโดยประมาณ 7.16 แสนล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา แต่ว่าขณะนี้มีมูลค่ารวมกันถึง 4.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา นี่ยังไม่รวมทั้งบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นๆที่เติบโตขึ้นมาในสมัยข้างหลัง ซึ่งบริษัทกลุ่มนี้ช่วยทำให้ห่วงโซ่อุปทานขยายตัวครอบคลุมไปทั่วโลก นอกเหนือจากการขยายตัวที่จริงจริงของเศรษฐกิจแล้ว คงจะไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าราคาทรัพย์สินต่างๆที่พุ่งขึ้นมาขนาดนี้ เป็นฟองสบู่ที่ถูกเป่าขึ้นมาจากสิ่งที่เรียกว่า “Quantitative easing” หรือ QE ซึ่งเป็นหลักการการคลังแบบบรรเทา
จุดเริ่มของ QE มาจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ตกลงใจหั่นอัตราค่าดอกเบี้ยลงโดยตลอด พร้อมทั้งเริ่มทำ QE ซึ่งสรุปกล้วยๆเป็น พิมพ์เงินใส่เข้ามาในระบบอย่างมากมาย คาดเดากันว่าระหว่างปี 2008 – 2014 ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา พิมพ์เงินออกมาสูงถึง 4.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา และไม่ใช่เพียงแค่สหรัฐอเมริกา แค่นั้น ประเทศอย่าง เยอรมัน อังกฤษ ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งอีกหลายประเทศ ต่างก็ทำเหมือนกัน
เมื่อสภาพคล่องล้นตลาด สวนกับผลตอบแทนจากตราสารหนี้สินที่ต่ำลงตามอัตราค่าดอกเบี้ย นักลงทุนย่อมปรารถนาผลตอบแทนที่สูงขึ้น เงินพวกนั้นก็เลยไหลไปสู่ทรัพย์สินการลงทุนอื่นๆแล้วก็แน่ๆว่าตลาดค้าหุ้นก็ได้รับผลบุญจากจุดนี้อย่างไรก็ดี ราคาของทรัพย์สินต่างๆที่ปรับนิสัยขึ้นสม่ำเสมอ จนถึงหลายข้างเริ่มดูกันว่าเป็นฟองสบู่ที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยกำลังจะถึงตอนที่แตกออกมา
Jack Ablin ผู้จัดการกองทุน Cresset Capital ยอดเยี่ยมในผู้ที่คิดแบบนั้น ซึ่งเหตุผลที่เสนอมาก็คือเรื่องของความไม่มีเหตุผลที่มากเหลือเกินของราคาที่ปรับขึ้นมา อย่างปี 2019 ดรรชนี S&P500 มากขึ้นราว 30% ตอนที่ผลกำไรของบริษัทโดยเฉลี่ยมากขึ้นเพียงแค่ 3% โน่นทำให้ปี 2020 อาจจะมีการเกิดการยุบตัวได้มากถึง 15% ราคาที่ปรับนิสัยขึ้นเร็วกว่าผลกำไร ทำให้ P/E ของดัชนีหุ้นหลายต่อหลายที่ พุ่งขึ้นสูงขึ้นมากยิ่งกว่าค่าถัวเฉลี่ยที่ผ่านๆมา อย่าง S&P500 ปัจจุบันนี้มี P/E แทบ 25 เท่า สูงยิ่งกว่าค่าถัวเฉลี่ยที่ 15 เท่า
เหมือนกันกับ Ray Dalio ผู้จัดตั้งกองทุน Bridgewater ก็กล่าวถึงความไม่มีเหตุผลนี้ว่า ราคาของทรัพย์สินทางด้านการเงินต่างปรับพฤติกรรมขึ้น สวนกับผลตอบแทนที่คาดหวังในอนาคต ในช่วงเวลาที่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและก็อัตราเงินเฟ้อก็ยังมิได้ขยับไปไหน
ท่ามกลางการเสี่ยงพวกนี้ ดูท่าจะยังไม่ใช่หัวข้อที่นักลงทุนมากมายตื่นตระหนก เพราะเหตุว่าเมื่อชำเลืองไปดูตลาดหลักทรัพย์หลายๆที่ในช่วงเวลานี้ ดรรชนีก็ยังคงวิ่งขึ้นทำสถิติใหม่กันอย่างครื้นเครง แต่ว่าอย่างที่พวกเราเข้าใจดีว่า ทุกงานกินเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ทุกราคาของทรัพย์สินก็ไม่อาจจะจะวิ่งขึ้นได้ตลอด สิ่งจำเป็นที่สุดเป็น พวกเราได้เตรียมความพร้อมที่จะรับการเสี่ยงไว้หรือยัง