1. ตลาดค้าหุ้นขึ้น – ลง คือเรื่องธรรดา รู้ไว้ไม่ดอยด
ในวันที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยยืนเหนือ 1,700 นั้น คนจำนวนไม่น้อยคงจะมีทั้งยังความรู้สึกเชื่อมั่นและก็โลเลคละเคล้ากันไป เนื่องจากย้อนไปเมื่อสองเดือนเศษๆตลาดค้าหุ้นไทย pgslot ยังวนเวียนอยู่แถบ1,640 จุด แม้กระนั้นในตอนนี้ที่ดรรชนีทะลุ 1,700 จุด ไปแล้ว บางบุคคลที่มีหุ้น ต้องการจะขายแต่ว่าก็ยังลังเล กลัวจะขึ้นต่อ แปลงเป็นขายหมู ในช่วงเวลาที่ บางบุคคลอยากจะซื้อ แม้กระนั้นก็กลัวว่าจะติดภูเขา
2. การเสี่ยงของการจับจังหวะตลาด
การค้าขายบ่อยเกินสิ่งที่จำเป็น หรือการพยายามที่จะจับจังหวะการลงทุน โดยความเป็นจริงแล้วเกิดเรื่องที่มีผลต่อผลตอบแทนการลงทุนต่ำที่สุด แถมยังเป็นการเพิ่มการเสี่ยงที่จะตกลงใจบกพร่องด้วย หัวข้อนี้มีบทศึกษาค้นคว้าที่ช่วยการันตี โดยย้อนไปปี 1986 วารสาร Financial Analysts Journal เผยแพร่บทศึกษาค้นคว้าซึ่งวิจัยว่าเมื่อลงทุนในระยะยาว อะไรเป็นตัวระบุผลตอบแทนจากการลงทุนของพวกเรา แล้วก็ผลที่ออกมาต่างก็ทำให้คนไม่ใช่น้อยประหลาดใจ เนื่องจากว่าการจับจังหวะตลาด ส่งผลต่อการลงทุนเพียงแต่ 2% เพียงแค่นั้น ในช่วงเวลาที่เหตุที่ส่งผลที่สุดเป็นการจัดสรรพอร์ต (Asset Allocation) ที่ส่งผลต่อวิธีการทำผลกำไรถึง 93.6%
3. ต้อง Focus ที่ตัวหุ้น/บริษัท
กฎการลงทุนของ ปีเตอร์ ลินช์ เอ๋ยถึงการลงทุน pgslot ว่า “อย่าซื้อหุ้น เพียงแค่เนื่องจากว่าคุณมีความรู้สึกว่ามันจะขึ้น แล้วก็อย่าขายหุ้น เพียงแต่เพราะเหตุว่าคุณมีความคิดว่าตลาดค้าหุ้นกำลังจะกระหน่ำ แม้กระนั้นควรซื้อหรือขายหุ้นนั้น เมื่อยามที่เบื้องต้นของบริษัทมันเปลี่ยน จากบริษัทปกติแปลงเป็นยอดเยี่ยมบริษัท หรือจากยอดเยี่ยมบริษัทที่กำลังจะลดน้อย”
4. ถ้าเกิดไม่ซื้อหุ้น จะเอาเงินไปไว้ไหน
ในบรรดาทรัพย์สินลงทุน หุ้นขึ้นชื่อลือชาในประเด็นการสร้างผลตอบแทนได้ดิบได้ดีเป็นลำดับที่หนึ่งถ้าหากวันนี้ขายหุ้นเพียงแค่ด้วยเหตุว่ามีความรู้สึกว่าขึ้นมามากมาย วันนี้จะเอาเงินไปไว้ตรงไหน ดังเช่น เงินออม ตู้นิรภัยที่บ้าน หากเป็นอย่างงั้นมีความหมายว่ากำลังลืมนึกถึงเรื่อง “เงินเฟ้อ” ด้วยเหตุว่าในวินาทีที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่นี้ หลายข้างต่างคาดว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจที่กำลังฟื้น กำลังดันมอบเงินเฟ้อทั้งโลกสูงมากขึ้น และก็เงินเฟ้อจะมีผลให้เงินออมในบัญชีมีค่าน้อยลงเรื่อยแต่ว่ามิได้แปลว่า จะต้องเอาเงินทั้งผองมาใส่ไว้ด้านในหุ้น แม้กระนั้นจำต้องแบ่งสรรกระเป๋าเงินตนเองไว้ให้พอดี
5. การลงทุนคือเรื่องของเวลา
เมื่อตกลงใจลงทุนในหุ้น สิ่งหนึ่งที่จำต้องทำความเข้าใจเป็น “การลงทุนคือเรื่องของเวลา” ทดลองดูหุ้นใหญ่ๆอย่างเช่น AOT ถ้าเกิดซื้อช่วงต้นปี 2012 ราคา 4 – 5 บาท (ราคา Par ใหม่) แล้วปลายปีนั้นขายออกไปตอนราคา 8 – 9 บาท จะได้กำไรอย่างต่ำๆ1 กระเด้งในเวลาไม่ถึงปี และก็ออกมาจากตลาดไปอย่างสุขสบาย แม้กระนั้นวันนี้หุ้น AOT ราคาอยู่ประมาณ66 บาท หรือขึ้นมา 10 กว่าเท่าในเวลาแค่ 5 ปีเศษๆหัวข้อนี้กำลังกล่าวว่า “หากลงทุนในหุ้นถูกตัว แล้วให้เวลามากพอ ศึกษาที่จะทนร่ำรวยได้ หุ้นนั้นจะเป็นเครื่องผลิตเงินให้เอง” หรือเรียกว่า Big Shot
เลือกหุ้นยังไงในตอนที่ไม่มี Fund Flow
โดยปกติ จะพิจารณาได้ว่าหุ้นที่ได้รับความพึงพอใจจากนักลงทุน pgslot เยอะๆจะได้โอกาสน้อยสำหรับการได้กำไรก้อนใหญ่ ด้วยเหตุว่าข้อมูลต่างๆได้ถูกสะท้อนไปในราคาหุ้นพอควรแล้ว รวมทั้งยิ่งในตอนที่ตลาดขาดโมเมนตัมขาขึ้น ดังเช่น ปัจจุบันนี้ที่ไม่มีจำนวนเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) มารอส่งเสริม ด้วยเหตุนั้น หากว่าไม่มีข้อมูลเชิงบวก ราคาหุ้นกรุ๊ปที่นักลงทุนฝรั่งสนใจ (หุ้นที่จะต้องอิง Fund Flow) จะปรับขึ้นได้ไม่มากเท่าไรนัก เลือกหุ้นไม่มี Fund Flowด
ในเวลาเดียวกัน ถ้าเกิดเกิดเหตุการณ์ผิดไปจากที่คิดในแง่ลบ ไม่ว่าจะมีเหตุมาจากตัวกิจการค้าเองหรือสภาวะตลาดโดยรวม ราคาหุ้นพวกนี้ได้โอกาสปรับต่ำลงได้ตลอดระยะเวลาและก็บางครั้งบางคราวก็ลงแรงพอเหมาะพอควร ด้วยเหตุว่าเมื่อมีต้นเหตุลบเข้ามา นักลงทุนจำนวนมากที่มีหุ้นอยู่จะกระทำขายออกมาพร้อมเพียงกัน
อย่างไรก็ดี จะมีหุ้นอยู่กรุ๊ปหนึ่งที่ยังสามารถปรับขึ้น pgslot สวนตลาดได้อยู่เป็นช่วงๆโน่นเป็น หุ้นที่อยู่ในกรุ๊ปเติบโต (Growth Stock) หุ้นสมาชิกใหม่ที่พึ่งพิงเข้าจำหน่ายบนบอร์ด, หุ้นที่ได้โอกาสฟื้น (Turnaround Stock) และก็หุ้นที่มีดีลหรือการเปลี่ยนธุรกิจ ด้วยเหตุนั้น โดยรวมๆหุ้นที่ได้โอกาสลงทุนแล้วได้กำไรในตอนขาด Fund Flow มีลักษณะ ดังต่อไปนี้
1. หุ้นที่มีความมุ่งมาดต่ำ โดยความหวังบางทีอาจพินิจจาก P/E Ratio ที่ต่ำ เมื่อเทียบกับ Growth rate และก็ธุรกิจของบริษัท
2. หุ้นที่ผลกำไรธรรมดายังเติบโตเจริญตลอด แต่ว่านักลงทุนยังไม่สนใจเยอะแค่ไหน
3. หุ้นที่เริ่ม Turnaround อย่างหนักแน่น แต่ว่านักลงทุนโดยมากยังไม่ทราบหรือละเลยไป
4. หุ้นขนาดกึ่งกลางรวมทั้งเล็กที่ยังไม่ค่อยมีนักพินิจพิจารณาหรือนักลงทุนพึงพอใจมากสักเท่าไรนัก แต่ว่ามีลักษณะท่าทางธุรกิจรวมทั้งผลประกอบการที่ดียิ่งขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หรือมี Growth rate สูง
5. หุ้น IPO ใหม่ที่ธุรกิจน่าดึงดูด หุ้นกลุ่มนี้มักได้โอกาสทำ New High ได้ง่าย
6. หุ้นที่ราคากล้าแกร่งกว่าหุ้นตัวอื่นๆอย่างชัดเจน ทำให้เห็นว่ามีความต้องการจากนักลงทุนสูง ทำให้แรงขายไม่อาจจะกดตีราคาให้หุ้นตกลงตามตลาดได้มากนัก (High Relative Strength)
นอกนั้น การฝึกฝนมอง stage ของหุ้นก็ช่วยเรื่องของจังหวะค้าขายก้าวหน้าเหมือนกัน ปกติหุ้นจะมี 4 stage หลักเป็น
1. Sideways หรือตอนสะสมหุ้น (accumulation)
2. Uptrend กระทั่ง peak
3. Stall หรือตอนออกของ (distribution)
4. Downtrend แล้วก็เลยวนกลับไป stage 1 ใหม่
กล่าวโดยย่อ เมื่อไม่มี Fund Flow รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์เริ่มซบเซา นักลงทุนจำต้องพร้อมรับความผันแปร เพราะฉะนั้น การต่อว่าดตามข่าวสารแล้วก็การเลือกหุ้นลงทุนให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ ผสมกับการใช้งานเครื่องมือทางด้านการเงินที่ถูกต้องแม่นยำเพื่อพินิจพิจารณาหุ้น ย่อมได้โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี
ตั้งตัวกับการลงทุนแบบวีไอ
เมื่อตั้งมั่นแล้วว่าจะเป็น “นักลงทุนย้ำปัจจัยเบื้องต้น” หรือ “นักลงทุนแบบเน้นย้ำค่า” (Value Investor : VI) จะดูการลงทุนในหุ้นเปรียบได้ดั่งการลงทุน luciabet ในธุรกิจ ให้น้ำหนักกับการวิเคราะห์ฐานรากของกิจการค้า รวมทั้งค่าที่สมควรของหุ้นในรายบริษัทมากยิ่งกว่าการคาดคะเนสภาวะตลาดโดยรวมหรือแนวทางภาวะเศรษฐกิจ ด้วยเหตุดังกล่าว อย่าทำให้ภาวการณ์ตลาดที่ผันแปรบีบคั้นให้ท่านหวั่นไหว ตั้งตัวกับการลงทุนแบบวีไอด
“ซื้อ”
1. ซื้อเมื่อมีความคิดเห็นว่ากิจการค้ามีฐานะด้านการเงินที่กล้าแกร่ง มีลักษณะท่าทางการเจริญเติบโตของผลกำไร luciabet ที่ดี และก็มีความรู้และความเข้าใจสำหรับในการชิงชัยที่ยืนยง ดังเช่น
– พินิจพิจารณางบการเงิน ก่อนจะซื้อหุ้นจำเป็นต้องพินิจพิจารณางบการเงิน
พินิจพิจารณาการเจริญเติบโตของผลกำไร (Earnings Growth) ก่อนลงทุนจำเป็นต้องประเมินแผนการที่บริษัทใช้เพื่อสำหรับการดำเนินธุรกิจ
– พินิจพิจารณาความรู้ความเข้าใจสำหรับการแข่ง (Competitive Advantage) พินิจพิจารณาว่าธุรกิจที่ลงทุนมีความเป็นต่อเหนือคู่ปรับ
2. ซื้อเมื่อพบว่าราคาหุ้นของบริษัท (Market Price) ถูกกว่าราคาที่สมควร (Intrinsic Value) นักลงทุนควรจะประมาณคุณค่าของหุ้นตัวนั้นๆก่อนจะซื้อลงทุนทุกหน
3. ซื้อเมื่อหุ้นตัวนั้นมี “ตัวกระตุ้น” ที่จะทำให้ราคาหุ้นวิ่งไปสู่ราคาที่ต้องเป็นได้
“ถือ”
แม้ภาวการณ์ตลาดโดยรวมมีความผันแปร แม้กระนั้นนักลงทุนตรวจตราแล้วว่าเหตุผลที่ตกลงใจซื้อหุ้นในตอนแรก รวมทั้งเบื้องต้นของหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง ควรจะถือลงทุนระยะยาวในหุ้นนั้นต่อ ที่สำคัญอย่าลืมว่า การถือเงินสดก็นับเป็นการลงทุนแบบหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ได้ผลทดแทนเพียง 1 – 2% เพียงแค่นั้น นักลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นเป็นส่วนมากมากยิ่งกว่า แม้ประเมินแล้วว่าได้รับผลตอบแทนที่คุ้มกับการเสี่ยง ดังเช่น ได้รับเงินโบนัส 4 – 5% ต่อปีอย่างสม่ำเสมอ โดยประเมินแล้วว่าธุรกิจได้โอกาสชำระเงินเงินปันผลระดับนี้ไปได้อีกนาน
“ขาย”
1. ขายเมื่อราคาสูงเกินค่าที่สมควร
2. ขายเมื่อเบื้องต้นธุรกิจห่วยลง
3. ขายเมื่อพบหุ้นตัวที่มีความน่าดึงดูดใจมากยิ่งกว่า
จะพิจารณาได้ว่า เหตุผลที่นักลงทุนวีไอตกลงใจขายหุ้น จะมิได้ขึ้นกับ “เงินลงทุนที่ซื้อมา” ว่าเป็นเท่าใด มิได้ขึ้นกับ “สภาวะตลาด” ว่าดีไหม แต่ว่าขึ้นกับการวิเคราะห์ “เบื้องต้นของธุรกิจ” แล้วก็ “ค่าที่สมควร” ว่าเป็นยังไง